***ปิดทองหลังพระ***
โดยปกติมนุษย์เราหวัง หรือต้องการ การยอมรับจากผู้อื่น การมีตำแหน่งในสังคม การเป็นที่เชิดชู เชิดหน้าชูตา หรือตำแหน่ง ยศ บรรดาศักดิ์ เป็นที่ยอมรับของสังคม ถือเป็นเรื่องปกติของโลก
การแสดงตัวให้ปรากฏ การทำงานเพื่อปรากฏแก่สายตาคน จึงเป็นเหตุจำเป็นที่หลายๆครั้งจำต้องสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ในที่แจ้ง หรือโดดเด่นตรงหน้าฉาก เพื่อผลรางวัลตามที่คาดหวังไว้
แต่ในอีกด้านหนึ่งของการทำงาน ผู้ที่คอยผลักดันอยู่เบื้องหลัง นับเป็นองค์ประกอบที่จะขาดเลยไม่ได้ ขาดไปความสมบูรณ์ของงานอาจไม่สำเร็จ
*** การปิดทองหลังพระนั้น เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องปิด ว่าที่จริงแล้วคนโดยมาก ไม่ค่อยชอบปิดทองหลังพระกันนัก เพราะนึกว่าไม่มีใครเห็น
แต่ถ้าทุกคนพากันปิดทองแต่ข้างหน้า ไม่มีใครปิดทองหลังพระเลย พระจะเป็นพระที่งามบริบูรณ์ไม่ได้ ***
พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๐๖
เรื่องเล่าเกี่ยวกับ “พระสมเด็จจิตรลดา” หรือ “พระพิมพ์” ที่ในหลวงทรงสร้างด้วยพระองค์เองเพื่อแจกให้ข้าราชบริพาร ซึ่งหลังจากพระราชทานแล้ว ทรงมีพระบรมราโชวาทว่า
“ก่อนจะเอาไปบูชา ให้ปิดทองเสียก่อน แต่ให้ปิดเฉพาะข้างหลังพระเท่านั้น”
มีนายตำรวจผู้หนึ่งคือ พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร ที่ได้รับพระราชทาน มากราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตปิดทองที่หน้าพระบ้าง เนื่องจากเล่าว่า ทำหน้าที่ทั้งเหนื่อย หนัก และเสี่ยงอันตราย แต่กลับไม่เคยได้ขึ้นเงินเดือนหรือได้รับอะไรตอบแทนมากนัก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานพระบรมราชาธิบายด้วยว่า
“ที่ให้ปิดทองหลังพระก็เพื่อเตือนตัวเองว่า การทำความดีไม่จำเป็นต้องอวดใคร หรือประกาศให้ใครรู้ ให้ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ และถือว่าความสำเร็จในการทำหน้าที่เป็นบำเหน็จรางวัลที่สมบูรณ์แล้ว”
ผมเอาพระเครื่องพระราชทานไปปิดทองที่หลังพระแล้ว ก็ซื้อกรอบใส่ หลังจากนั้นมา สมเด็จจิตรลดาหรือพระกำลังแผ่นดินองค์นั้น ก็เป็นพระเครื่องเพียงองค์เดียวที่ห้อยคอผม
หลังจากที่ไปเร่ร่อนปฏิบัติหน้าที่อยู่ไกลห่างพระยุคลบาท ผมได้มีโอกาสกลับไปเฝ้าฯ ที่วังไกลกังวลอีก…..ความรู้สึกเมื่อได้เฝ้าฯ นอกจากจะเป็นความปีติยินดีที่ได้พระยุคลบาทอีกครั้งหนึ่งแล้ว ก็มีความน้อยใจที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจ ลำบาก และเผชิญอันตรายนานาชนิด บางครั้งจนแทบเป็นอันตรายถึงชีวิต
แต่ปรากฎว่ากรมตำรวจมิได้ตอบแทนด้วยบำเหน็จใดๆ ทั้งสิ้น ก่อนเสด็จขึ้นคืนนั้น
ผมจึงก้มลงกราบบนโต๊ะเสวย แล้วกราบบังคมทูลว่าใคร่ขอพระราชทานอะไรสักอย่างหนึ่ง……….
……..พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามว่า “จะเอาอะไร?”
และผมก็กราบบังคมทูลอย่างกล้าหาญชาญชัยว่า
“จะขอพระบรมราชานุญาต ปิดทองบนหน้าพระ ที่ได้รับพระราชทานไป พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามเหตุผลที่ผมขอปิดทองหน้าพระ
ผมกราบบังคมทูลอย่างตรงไปตรงมาว่า
“พระสมเด็จจิตรลดาหรือพระกำลังแผ่นดินนั้น นับตั้งแต่ได้รับพระราชทานไปห้อยคอแล้ว ต้องทำงานหนักและเหนื่อยเป็นที่สุด เกือบได้รับอันตรายร้ายแรงก็หลายครั้ง มิหนำซ้ำกรมตำรวจยังไม่ให้เงินเดือนขึ้นแม้แต่บาทเดียวอีกด้วย”
พระเจ้าอยู่หัวทรงแย้มพระสรวล (ยิ้ม) ก่อนที่จะมีพระราชดำรัสตอบด้วยพระสุรเสียงที่ส่อพระเมตตาและพระกรุณาว่า
“ปิดทองไปข้างหลังพระเรื่อยๆ แล้วทองจะล้นออกมาที่หน้าพระเอง”
ถึงวันนี้เเม้ไม่มีพระองค์ท่านอยู่เเล้ว เเต่ทุกพระราชดำรัส ทุกพระราชกรณียกิจยังคงอยู่
“พวกเราทุกคนต้องถือเอาเป็นมรดกที่รับพระราชทานมาแล้วใช้ต่อ คือใครทำหน้าที่อะไรก็ทำไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ หรือพ่อค้าต้องทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนเหมือนที่พระเจ้าอยู่หัวทรงทำ เสียใจก็เสียใจแต่ไม่ควรจะมานั่งเสียใจเฉยๆ แต่คิดถึงพระองค์ท่านแล้วต้องเจริญตามรอยพระยุคลบาทให้ได้”
“ผมก็ตั้งใจเช่นกันว่าในช่วงเวลาอีกไม่กี่ปีข้างหน้าก่อนที่ผมจะไม่อยู่แล้ว ถ้าทำอะไรที่ถวายพระเจ้าอยู่หัวได้ ผมจะทำถวายต่อไปเหมือนพระองค์ยังทรงอยู่กับเรา
นี่คือคุณธรรมและแบบอย่างอันสูงสุดของปวงชนชาวไทย
ด้วยพระบารมีปกเกล้าฯ