"สมัยเป็นเด็กฉันยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคำว่า “วาจาสิทธิ์” ที่ยายพูดสักเท่าไร ยายเป็นคนธรรมะธัมโม เมื่อถึงวันพระก็มักชวนลูกชวนหลานไปวัด ตกเย็นก็ชวนเข้าห้องพระสวดมนต์ไหว้พระด้วยกัน
ท่านมักจะเล่าว่าพระรูปนั้นรูปนี้มีความศักดิ์สิทธิ์อย่างไร โดยเฉพาะเรื่องราวของ “พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์” อดีตเจ้าอาวาสวัดสวนขัน จังหวัดนครศรีธรรมราช ยายมักจะเล่าให้ฟังว่าท่านเป็นพระนักพัฒนาทำถนนหนทางมากมาย และมีวาจาศักดิ์สิทธิ์พูดหรือทักอะไรก็เป็นไปตามนั้น ท่านเป็นคนมีเมตตา ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส อารมณ์เยือกเย็นอยู่เสมอ และมักจะให้พรกับทุกคนว่า “ขอให้เป็นสุขเป็นสุข” เล่ากันว่าคนที่มีฐานะยากจนแล้วได้รับคำอวยพรจากท่าน กลายเป็นเศรษฐีมาหลายรายแล้ว
สำหรับฉัน เรื่องที่ยายเล่าไม่ต่างอะไรกับนิทาน ฉันคิดว่าเรื่องวาจาสิทธิ์คงเป็นอุบายที่สอนให้คนคิดในสิ่งที่ดี พูดในสิ่งที่ดี และไม่กล้าทำความชั่วเท่านั้นเอง แต่แล้ววันหนึ่งฉันก็ได้ประจักษ์ด้วยตัวเองว่าสิ่งที่ฉันคิดนั้นผิดถนัด!
แม่ของฉันมักพูดเสมอว่า คำพูดของพ่อแม่มีความศักดิ์สิทธิ์ คนที่เป็นพ่อเป็นแม่รู้ดีว่าถ้าอยากให้ลูกเติบโตเป็นคนดีมีความก้าวหน้าในชีวิตจะต้องพูดกับลูกด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ สั่งสอนด้วยวาจาที่อ่อนหวาน ส่วนใครก็ตามที่ถูกพ่อแม่ด่าว่าโดยเฉพาะสาปแช่งแล้วละก็ ชาตินี้ทั้งชาติมีแต่ตกอับสถานเดียว และที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือจะส่งผลไปจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลานเลยทีเดียว
เครดิต .com
วาจาสิทธิ์นี้ ที่ปรากฎโดยเนืองๆ ก็จากประวัติพระอริยะสงฆ์ที่พร้อมในศีล 227 ข้อ และจริยาวัตร อันงดงาม วาจาของท่านนั้น เมื่อเอ่ยสิ่งใดไป ก็จะปรากฎเป็นจริงเช่นตามนั้นทุกประการ ที่เป็นเช่นนั้น ก็ด้วยบังเกิดจากคุณความดี ศีล ปฏิปทาที่เพรียบพร้อม ถึงคุณธรรมขั้นสูงที่ท่านบรรลุ จึงบังเกิดความอัศจรรย์เช่นนี้ขึ้นได้ อันจะเทียบเคียงกับการที่เราเข้าใจโดยง่ายๆว่า "พระที่มีญาณวิเศษ มีความสำเร็จในวิชา 8 ประการ หรือ ข้อใดข้อหนึ่งนั้น ย่อมตีความได้ว่า ท่านได้บรรลุธรรมของพระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นๆแล้วข้อใดข้อหนึ่ง" จะถึงซึ่งอรหันต์แล้วเท่าใด สูงสุดหรือไม่นั้น เราพุทธบริษัทคงพิจารณาได้จาก อัฐฐิเถ้า ที่ท่านได้สละทิ้งไว้ เป็นอนุสรณ์
อย่างนี้แล้ว แค่วาจาสิทธิ์นี้ จึงพอเทียบเคียงได้ว่า วาจาท่านนั้นศักดิ์สิทธิ์จริง ตาทิพย์ หูทิพย์ อ่านใจคนได้ เหล่านี้ยังปรากฎหลักฐาน ในประวัติพระอริยะแต่ละองค์ให้เห็นเป็นเนืองๆ
ส่วนวาจาสิทธิ์พ่อแม่นั้นพ่อแม่
"เป็นพรหมของบุตร" "พ่อแม่ เป็นพระอรหันต์ของลูก" "พ่อแม่ เป็นครูคนแรกของลูก" ด้วยคุณอันเอนกอนันต์นี้ เราก็ไม่บังควรไปล้อเล่น กับบุคคลผู้มีคุณกับตัวเราเอง ท่านเป็นทุกอย่างของเรา แค่ไม่มีท่านก็ไม่มีเรา สิ่งใดทำความเจ็บปวดและรำคาญให้ท่าน เป็นทุกต่อท่าน ด้วยการกระทำอันไม่ดีของเรา เราก็ไม่ควรทำ ให้ท่านถึงขนาดให้ท่านสาบแช่ง เพราะมันน่ากลัว ให้แทนด้วยคำสรรเสริญเยินยอจากท่าน บูชาท่าน เพื่ออะไร เพื่อความเจริญและเป็นศิริมงคลต่อชีวิตเรา ดูแลผู้มีคุณไปไหนมาไหนก็ไม่ลำบาก
เครดิต ล็อกเก็ต นิรนาม.
หลักเปรียบเทียบโดยวิชาการสมัยใหม่
ปัญหาหนักอกของพ่อแม่ ในปัจจุบัน คือการเลี้ยงลูกให้เหมาะสมกับสภาพสังคม "ทักษะชีวิต วิธีการเป็นพ่อแม่" เพื่อให้พ่อแม่เรียนรู้และทำความเข้าใจที่ถูกต้องกับการเลี้ยงลูก
โดยแพทย์หญิง จิตรา วงศ์บุญสิน กุมารแพทย์ประจำโรงพยาบาลบางกอก 1 เจ้าของผลงานหนังสือ "ออกแบบลูกรักด้วยวิธีเลี้ยง"และ"เก้าอี้ 4 ขาสู่การเรียนรู้ "
พญ.จิตรา วงศ์บุญสิน กล่าวว่า ชีวิตเราเหมือนการขี่จักรยาน ต้องเรียนรู้ด้วยตนเองจึงจะขี่ได้ แต่จุดมุ่งหมายในชีวิตต่างกัน บางคนเอาใจใส่จักรยานที่ขี่ แต่บางคนไม่สนใจท้ายสุดจักรยานก็พัง เหมือนคนเป็นพ่อเป็นแม่ ที่มักอ้างเหตุผลที่ไม่เลี้ยงลูกว่า ไม่ว่าง เวลาไม่พอ ต้องทำงานมากๆ เพื่อหาเงินเลี้ยงลูก เลี้ยงลูกไม่เป็น ให้ปู่ย่าตายายเลี้ยงดีกว่าเพราะมีประสบการณ์
สุดท้ายกว่าจะรู้ตัวชีวิตลูกก็พังไม่เป็นท่า ไม่เหลืออะไร เช่นเดียวกับการเชียร์กีฬา ทีมีกองเชียร์ คอยวิจารณ์และพูดถึงอดีต ผู้เล่นมองปัจจุบัน และโค้ชมองถึงอนาคตของผู้เล่น พ่อแม่ส่วนใหญ่ชอบเป็นกองเชียร์ ที่วิจารณ์ไม่ลงมือทำ หากเกิดความผิดพลาดขี้นมักโทษว่าเป็นความผิดของผู้อื่น ดังนั้น พ่อแม่ต้องสวมบทบาทของการเป็นผู้เล่น และโค้ช เพื่อวางแผนและสร้างอนาคตที่ดีให้กับลูก
กุมารแพทย์กล่าวว่า ลูกจะเลียนแบบพฤติกรรมของผู้ใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีแรก สำคัญมากเพราะ พฤติกรรมจะซึมลึกเมื่อใกล้ใครจะเลียนแบบคนนั้นเป็นเหมือนกระจกเงา ฉะนั้นถ้าอยากให้ลูกเติบโตเป็นเช่นไรพ่อแม่ต้องเป็นกระจกที่ดี โดยสิ่งสำคัญในการเลี้ยงลูกคือ ต้องตั้งจุดหมายที่ต้องการก่อนในที่นี้คือ ความสุข ทุกอย่างเริ่มต้นที่ความสุข ให้ลูกมีความสุขมาจากข้างในมาจากจิตใจ ไม่ใช่แค่สุขจากภายนอก เพราะนั่นไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เมื่อลูกมีความสุขแล้ว สิ่งอื่นๆจะตามมา ทั้งการเป็นคนดี มีความรับผิดชอบ เป็นคนเก่ง
สิ่งถัดมาคือ การมีแบบอย่าง แห่งความประทับใจ เพื่อให้ลูกอยากได้เป็นแบบอย่าง ทุกอย่างรวมกันเป็นลูกข่างสู่ความเป็นอัจฉริยะ นั่นคือ เริ่มต้นจากความสุข มีพลังสมอง นำไปสู่ความสำเร็จ เมื่อสำเร็จก็มีความมั่นใจในตัวเอง ซึ่งทำให้มีความสุข วนเวียนเช่นนี้ การให้ลูกเป็นลูกข่างอัจฉริยะต้องมีปัจจัยอื่นเสริม คือ ร่างกายต้องแข็งแรง มีสติปัญญา และตั้งใจสอนให้ลูกอยู่ในโลกแห่งความจริง อยู่ได้อย่างมีความสุขด้วยตัวเอง เพราะพ่อแม่ไม่สามารถอยู่กับลูกได้ตลอด
พญ. จิตรา วงศ์บุญสิน กล่าวถึงสิ่งสำคัญอีกประการคือ การสร้างความเชื่อใจไว้วางใจกับลูก พ่อแม่ต้องรักษาคำพูด พูดแล้วทำตามกติกาและเสมอต้นเสมอปลาย เพื่อให้ลูกเกิดความเชื่อถือและไว้ใจ อย่าคาดหวังหรือตั้งความหวังมาก เพราะหากไม่ได้ตัวเราจะหงุดหงิดอารมณ์เสียพาลใส่ลูก ทุกครั้งที่เราบ่น สิ่งที่ไม่รู้คือ เราได้สูญเสียความรักจากลูกลงไปที่ละน้อย และลูกรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า
ดังนั้นการสื่อสารจึงมีความสำคัญที่เป็นตัวช่วยในการสร้างความเข้าใจ หัวใจสำคัญของการสื่อสารอยู่ที่การฟัง โดยเฉพาะการพูดกับเด็กไม่ต้องพูดยาวมาก เพราะเนื้อหาที่เข้าไปสู่เด็กมีแค่ ร้อยละ 6 % แต่เด็กซึมซับตามภาษากายมากกว่า ดังนั้นการคิดอะไรในใจไว้ก่อนและสรุป ถือเป็นการสื่อสารที่ปิดหูกว่าครึ่ง และทำให้เราเสียโอกาส ควรให้เวลาในการฟังเด็กและแสดงภาษากายกับเขาด้วย เปิดโอกาสให้พูด หากอยากให้ลูกทำอะไร บอกเขาตรงๆ อย่าพูดบั่นทอนกำลังใจ ต้องให้กำลังใจชมเมื่อลูกทำได้ หากลูกได้รับบทเรียน จากการทำพลาด ต้องไม่ซ้ำเติมหรือพูดซ้ำซากเรื่องเก่า ที่สำคัญให้เริ่มต้นประโยคด้วยการใข้คำแทนตัวเลยว่า พ่อ แม่ ปู่ หรือย่า ฯลฯอยากให้ลูกทำแบบนั้นแบบนี้
"ให้ความสำคัญกับลูกมากๆ ในเวลาที่อยู่ด้วยกัน ใช้วิธีโน้มน้าวใจลูกแทนการบังคับ พูดให้ลูกเห็นคล้อยตาม หากลูกยังไม่เห็นด้วยให้พูดทุกวันจนคล้อยตามเรา เมื่อลูกทำตามต้องให้คำชมเชย ให้กำลังใจ เพราะคำพูดพ่อแม่เป็นกำลังใจสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กวัยรุ่น ต้องคิดเสมอว่าเลี้ยงลูกด้วยความรักและให้โอกาส อยากให้ลูกเติบโตมาเป็นเช่นไร ต้องเลี้ยงลูกแบบนั้น พญ.จิตรากล่าว.
ขอบคุณ ข้อมูล จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์
หน้าที่เข้าชม | 502,786 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 264,597 ครั้ง |
เปิดร้าน | 20 ก.พ. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 1 ต.ค. 2568 |